ปัจจุบัน มูลนิธิให้บริการหลัก ดังนี้
บริการสวัสดิการครอบครัว
บริการครอบครัวอุปการะ
บริการครอบครัวบุญธรรมและบริการหลังการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
- งานสวัสดิการเด็กและครอบครัวสู่ชุมชน
- งานส่งเสริมมหัศจรรย์พันวันแห่งชีวิต
- งานเครือข่ายและสนับสนุนภาครัฐ
1. บริการสวัสดิการครอบครัว
งานฟื้นฟูสภาพครอบครัว
ด้วยความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพหากได้รับโอกาส เมื่อได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมและทันท่วงทีจะสามารถพัฒนาตนเอง นำไปสู่การพึ่งตนเองได้ในที่สุด “ความยากจน” จะไม่เป็นสาเหตุของการทอดทิ้งเด็ก มูลนิธิ จึงจัดบริการการให้คำปรึกษา การช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านโภชนาการ , ทุนการศึกษา, ทุนประกอบอาชีพ ฯลฯ เพื่อคลี่คลายวิกฤติและช่วยให้พ่อแม่ได้มีการวางแผนชีวิตและการดูแลบุตรที่เหมาะสม ผ่านการให้การช่วยเหลือเฉพาะราย(Case work) และการสังคมสงเคราะห์กลุ่มชน (Group Work) โดยกลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นครอบครัวที่มีบุตรแรกเกิด – 18 ปี ทั้งครอบครัวพ่อแม่ ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และครอบครัวเครือญาติ บริการฟื้นฟูครอบครัวนี้ส่งผลให้พ่อแม่เลือกที่จะดูแลเด็กต่อไปแทนการทอดทิ้งหรือปล่อยปละละเลยเด็ก
ปัจจุบันมูลนิธิให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวไปแล้ว จำนวนกว่า
งานช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม
ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมควรได้มีทางเลือก ได้ไตร่ตรอง และมีการตัดสินที่เหมาะสม รวมทั้งคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กที่จะเกิดมา มูลนิธิเป็นหน่วยบริการสำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมที่ประสงค์จะท้องต่อ โดยจัดให้มีบริการให้คำปรึกษา การดูแลก่อน-หลังคลอด การช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการ เช่น ที่พักอาศัย นมผง-อาหารเสริม การฝากเลี้ยงเด็ก การคุมกำเนิด การยกมอบเด็กเพื่อจัดหาครอบครัวบุญธรรม ฯลฯ
2. บริการครอบครัวอุปการะ
ด้วยความเชื่อในระบบการดูแลแบบครอบครัวทดแทนและเชื่อว่าผู้คนในสังคมสามารถมีส่วนสนับสนุนช่วยเหลือเด็กได้ จึงได้จัด “บริการครอบครัวอุปการะ” ขึ้น โดยจัดหาครอบครัวที่มีความพร้อมเป็นอาสาสมัครทำหน้าที่พ่อแม่ทดแทนให้กับเด็กที่จำเป็นต้องแยกจากพ่อแม่ที่แท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงการเลี้ยงดูแบบสถานสงเคราะห์ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดรัก ขาดอัตลักษณ์ มีการเจริญเติบโตไม่สมวัยและพัฒนาการล่าช้าของเด็ก
ในปี 2542 มูลนิธิเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่ให้บริการครอบครัวอุปการะแก่เด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อHIV นอกจากรับเด็กที่มารดาประสงค์ฝากเลี้ยงหรือยกมอบให้มูลนิธิแล้ว นับแต่ปี 2546 เป็นต้นมา มูลนิธิยังให้บริการสำหรับเด็กที่ถูกส่งมาคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามพรบ.คุ้มครองเด็ก 2546 ซึ่งได้แก่ เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยหรือถูกทารุณกรรมอีกด้วย

ครอบครัวอุปการะผู้โอบอุ้มและดูแลหัวใจที่บอบช้ำของเด็ก
ปัจจุบันบริการครอบครัวอุปการะสามารถรองรับเด็กไปแล้วมากกว่า
3. บริการการรับบุตรบุญธรรมและบริการหลังการรับบุตรบุญธรรม
ด้วยความเชื่อที่ว่าเด็กทุกคนต้องมีครอบครัวเป็นของตนเอง จึงได้จัดให้มีการจัดหาครอบครัวบุญธรรมที่กระทำภายใต้กระบวนการที่ให้ความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิของเด็ก สิทธิของพ่อแม่โดยกำเนิด และสิทธิของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม โดยมีนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพเป็นกลไกสำคัญของการคุ้มครองสิทธิของบุคคลเหล่านั้น
มูลนิธิเป็น 1 ใน 4 ขององค์กรเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้สามารถดำเนินการจัดหาครอบครัวบุญธรรมให้เด็กได้ตามกฎหมาย
นอกจากจัดหาครอบครัวบุญธรรมให้กับเด็กที่มารดายกมอบให้กับมูลนิธิแล้ว ยังได้ร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชนในการจัดหาครอบครัวบุญธรรมให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งต้องอาศัยทักษะ ประสบการณ์ กลวิธีการทำงานที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เด็กกำพร้าที่เป็นเด็กโต เด็กพิการ เด็กพิเศษ เด็กที่มีปัญหาสุขภาพ ซึ่งเป็นเด็กกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลพิเศษในสถานสงเคราะห์ 16 แห่งภายใต้การดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีโอกาสเติบโตในครอบครัวอย่างเท่าเทียมกับเด็กปกติอีกด้วย
ปัจจุบันมูลนิธิได้จัดหาครอบครัวบุญธรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้เด็กกำพร้ามากกว่า
หลังการรับบุตรบุญธรรม มูลนิธิมีบริการให้คำปรึกษากับครอบครัวบุญธรรมในการเลี้ยงดูบุตร หรือบุตรบุญธรรมที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วประสงค์จะรับทราบข้อมูลครอบครัวโดยกำเนิดหรือติดต่อขอพบครอบครัวโดยกำเนิด รวมทั้งการสนับสนุนให้บุตรบุญธรรมได้เรียนรู้รากเหง้าวัฒนธรรมความเป็นไทยในกรณีที่เป็นบุตรบุญธรรมชาวต่างประเทศ
4.งานสวัสดิการเด็กและครอบครัวสู่ชุมชน
เป็นการประสานทรัพยากรในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ชุมชน ทั้งในส่วนพัฒนาสังคมจังหวัด บ้านพักเด็กและครอบครัว โรงพยาบาล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ศูนย์เด็กปฐมวัย โรงเรียน ผู้นำชุมชนในการจัดบริการที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของสังคม เช่น การพัฒนาครูศูนย์เด็กปฐมวัย, โครงการส่งเสริมสุขภาพเด็กในโรงเรียน, สโมสรเด็กสัญจรสู่ชุมชน , การสร้างแกนนำเด็ก แกนนำในชุมชน, หลักสูตรขบวนการเด็กดี หัวใจพอเพียง, การพัฒนากลไกสหวิชาชีพระดับตำบล ฯลฯ
ศูนย์เรียนรู้เด็กและครอบครัว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
จากประสบการณ์การทำงานกับเด็กและครอบครัวยาวนาน จากการพยายามส่งเสริมเรื่องการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ครอบครัวด้วยการปลูกผักปลอดสารพิษ ทำให้เล็งเห็นว่านอกจากเป็นการลดรายจ่ายครอบครัวแล้ว การปลูกผักยังเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ในครอบครัว ปลูกฝังเรื่องวินัย การรักการกินผัก และสามารถเชื่อมโยงสู่การปลูกฝังเรื่องการรักสิ่งแวดล้อม ในปี 2553 มูลนิธิจึงได้สร้าง “ศูนย์เรียนรู้เด็กและครอบครัว” ขึ้นประกอบด้วยสวนเกษตรซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์PGS เมื่อปี 2558 ในศูนย์ฯ นอกจากมีแปลงผักผลไม้ปลอดสารพิษ ต้นไม้ต่าง ๆ เป็นที่เรียนรู้การเพาะปลูกแบบอินทรีย์แล้ว ยังเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมสำหรับครอบครัวที่รับบริการของมูลนิธิ ต่อมาเปิดเป็นพื้นที่กิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัว โรงเรียน หน่วยงานในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่สนใจกิจกรรมสร้างการเรียนรู้เรื่องธรรมชาติและการสร้างทักษะสำคัญสำหรับเด็กอีกด้วย
พื้นที่เล่น พื้นที่เรียนรู้
สำหรับเด็ก ๆ การเล่นคือการงานอันวิเศษ นอกจากได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว การเล่นคือการเรียนรู้ที่จะเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาการ ส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การได้ลงมือทำและพบความสำเร็จ การเล่นร่วมกันทำให้เด็กได้ฝึกทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การฝึกให้รู้จักรอคอย เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ปลูกฝังลักษณะนิสัยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่พ่อแม่ที่ต้องทำงานและไม่สามารถดูแลเด็กหลังเลิกเรียนได้ มูลนิธิจึงได้จัดให้มีโครงการสนับสนุนพื้นที่เล่น ดังนี้
▪ Play lab พื้นที่เล่นหลังเลิกเรียนสำหรับเด็กรอบสำนักงานกรุงเทพ เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 15.30 – 18.30 น. โดยจัดให้มีพื้นที่สำหรับเล่นอิสระ เช่น กีฬา เครื่องเล่นสนาม บ่อทราย เกม เลโก้ การเล่นบทบาทสมมติ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมศิลปะ อ่านหนังสือ ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ การทดลองต่าง ๆ ฯลฯ ให้กับเด็กอีกด้วย
▪ งานส่งเสริมทักษะชีวิตเด็กในชุมชนเมือง 5 แห่ง เป็นโครงการร่วมกับมูลนิธิสุขภาพไทย โดยการจัดกิจกรรมสำหรับเด็กเพื่อพัฒนาทักษะเด็กช่วงหลังเลิกเรียนหรือเสาร์ อาทิตย์ตามความพร้อมของชุมชน ควบคู่กับการทำงานร่วมกับกรรมการชุมชน พ่อแม่ เพื่อสร้างระบบดูแลเด็กในชุมชน ป้องกันเรื่องปัจจัยเสี่ยงสำหรับเด็ก โครงการนี้ยังเปิดรับอาสาสมัครจากภายนอกเพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก
5.งานส่งเสริมมหัศจรรย์พันวันแห่งชีวิต
ปฐมวัยเป็นรากฐานสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ การลงทุนในเด็กปฐมวัยสามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเด็กเติบโตขึ้น เพื่อให้มูลนิธิสามารถขยายขอบเขตของบริการในเชิงป้องกันปัญหาการปล่อยปละละเลยเด็กและการทอดทิ้งเด็ก นับแต่ปี 2563 สำนักงานนครศรีธรรมราชจึงร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลาในการจัดบริการ “ศูนย์เด็กเล็กต้นสุข” เป็นบริการรับฝากเลี้ยงเด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปีที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อย เพื่อให้เด็กได้รับความปลอดภัย ได้รับการส่งเสริมโภชนาการและพัฒนาการ และพ่อแม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวควบคู่ไปกับการดูแลลูกได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้มูลนิธิยังได้ร่วมกับอาสาสมัครในชุมชนจำนวน 5 แห่งในอ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ในการจัดให้ความรู้ด้านโภชนาการ พัฒนาการเด็ก วิธีการเลี้ยงดูที่เหมาะสมแก่พ่อแม่หรือเครือญาติที่ดูแลเด็กต่ำกว่า 2 ปีเพื่อเป็นการทำงานเชิงป้องกันปัญหาเด็ก
6.งานเครือข่ายและสนับสนุนภาครัฐ
สหทัยมูลนิธิเห็นความสำคัญของการทำงานเพื่อผลักดันนโยบายด้านเด็กและครอบครัว ตลอดจนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสำหรับเด็กและครอบครัวตามหลักวิชาการ จึงร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่ายต่าง ๆ ดังนี้ เครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทย (CRC Coalition Thailand) เครือข่ายการเลี้ยงดูทดแทนประเทศไทย (CRC Alternative Care Thailand – ACT) เครือข่ายท้องไม่พร้อม (Choices Network Thailand) คณะทำงานสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า
นอกจากนี้มูลนิธิยังมีพื้นที่ทำงานร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับกับพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในสถานสงเคราะห์ผ่านงานอาสาสมัครและการพัฒนาระบบกลไกคุ้มครองเด็กเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าสู่สถานสงเคราะห์ ตลอดจนใช้ชีวิตในสถานสงเคราะห์ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ผ่านงาน 3 โครงการได้แก่
โครงการส่งเสริมงานอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด
สภาพการเลี้ยงดูเด็กในสถานสงเคราะห์ที่มีผู้ดูแลน้อยแต่เด็กจำนวนมาก และการต้องเปลี่ยนผู้เลี้ยงดูอยู่เสมอ ทำให้เด็กขาดความผูกพันและความเป็นส่วนหนึ่งของใครสักคนหนึ่ง (Sense of Belonging) ในปี 2530 มูลนิธิจึงร่วมกับสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ดเปิดรับบุคคลทั่วไปเป็นอาสาสมัครดูแลเด็กแบบ 1 ต่อ 1 และเป็นการมาเยี่ยมเด็กอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จนกว่าเด็กจะออกจากสถานสงเคราะห์ เป็นงานอาสาสมัครที่มีระบบการคัดกรองอาสาสมัคร การปฐมนิเทศ การดูแลสนับสนุนระหว่างการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้เด็กได้รับความรัก ความใส่ใจ มีความสุขและมีพัฒนาการที่ดีขึ้น นับเป็นงานอาสาสมัครที่มีความต่อเนื่อง มุ่งมั่น รับผิดชอบและคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก
ถึงปัจจุบันมีเด็กได้รับการดูแลจากอาสาสมัครมากว่า
โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวเพื่อป้องกันการทอดทิ้งเด็ก
เป็นโครงการที่ทำร่วมกับบ้านพักเด็กและครอบครัว 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดตรัง จังหวัดสงขลา จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานี โดยสนับสนุนงบประมาณให้แก่บ้านพักเด็กและครอบครัวในการทำงานฟื้นฟูสภาพครอบครัวที่มีวิกฤติเพื่อให้ พ่อแม่หรือเครือญาติได้สามารถดูแลเด็กได้โดยไม่ต้องส่งเด็กเข้าสถานสงเคราะห์ เริ่มดำเนินการในปี 2566 งบประมาณจะมุ่งที่การสนับสนุนเรื่องอาชีพ รายได้ของครอบครัวเป็นหลัก และสนับสนุนการคลี่คลายวิกฤติเฉพาะหน้าของครอบครัว โครงการนี้ส่งผลให้บ้านพักเด็กและครอบครัวได้ประสานทรัพยากรและขยายความร่วมมือกับชุมชน หน่วยงานในท้องถิ่นเพื่อสามารถดูแลคุ้มครองเด็กได้ดียิ่งขึ้น
โครงการพัฒนาระบบกลไกคุ้มครองเด็กเพื่อสนับสนุนให้เด็กเติบโตในครอบครัว
เป็นโครงการที่ดำเนินการร่วมกับมูลนิธิก้าวหน้าพัฒนา (Step Ahead) องค์การแคร์ฟอร์ชิลเดรน (Care for Children) เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถดำเนินงานตามแนวทางการเลี้ยงดูทดแทนที่มุ่งให้เด็กได้เติบโตในครอบครัวลดการดูแลเด็กในรูปแบบสถาบัน ในปี 2565 จึงร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชนในการเริ่มดำเนินการสร้างความตระหนักเรื่องสนับสนุนเด็กให้เติบโตในครอบครัวกับ สถานสงเคราะห์ 4 แห่งและบ้านพักเด็กและครอบครัว 16 แห่งที่ส่งเด็กเข้าสถานสงเคราะห์ทั้ง 4 แห่งมากที่สุด
ต่อมาเพื่อความเหมาะสมได้ลดขนาดงานลงเป็นการทดลองระบบงานที่สถานสงเคราะห์บ้านแคนทอง จ.ขอนแก่น บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดร้อยเอ็ด บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีการเก็บข้อมูลรับเข้า จำหน่ายออก มีระบบการประชุมรายกรณีสำหรับเด็กที่บิดามารดาฝากเลี้ยงเพื่อให้เกิดแผนถาวรสำหรับเด็กและพัฒนาทักษะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการประเมินครอบครัวและให้คำปรึกษา การสร้างความตระหนักกับกลไกสหวิชาชีพในจังหวัด หน่วยงานในท้องถิ่นเพื่อสร้างระบบกลไกสนับสนุนให้เด็กเติบโตในครอบครัว
งานสวัสดิการเด็ก ตามสภาพปัญหา บริบทของสังคม ณ ขณะนั้น (พ.ศ.2519 -2551)
โครงการนันทนาการผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาล ด้วยความเชื่อที่ว่าความเจ็บป่วยไม่ใช่อุปสรรคของการเรียนรู้ ร่างกายและจิตใจไม่อาจแยกส่วนจากกันได้ มูลนิธิจึงได้ร่วมกับโรงพยาบาลต่าง ๆ จัดทำ “โครงการนันทนาการผู้ป่วยเด็ก” เพื่อช่วยให้เด็กที่เจ็บป่วยเรื้อรังซึ่งต้องแยกจากครอบครัวเพื่อเข้ารับการรักษาระยะยาวในโรงพยาบาล ได้รับการดูแลและส่งเสริมทางด้านสุขภาพจิตและพัฒนาการ ตลอดจนการเตรียมผู้ป่วยเด็กให้ร่วมมือในการบำบัดรักษา ผ่านกิจกรรมนันทนาการหลายๆ รูปแบบที่นักพัฒนาการเด็กจัดขึ้นอย่างมีเป้าหมาย มูลนิธิได้ส่งนักพัฒนาการเด็กลงปฏิบัติงานในห้องเล่นของโรงพยาบาลรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเด็ก (สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีในปัจจุบัน) โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลภูมิพล และโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ปัจจุบันโรงพยาบาลทั้ง 7 แห่งมีเจ้าหน้าที่ประจำในการดำเนินโครงการเอง
โครงการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษ เป็นการสนับสนุนให้กลุ่มผู้ปกครองของเด็กพิเศษรวมตัวกันเพื่อจัดการเรียนการสอนให้ลูกหลานของตนเองและเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งซึ่งเป็นเด็กพิเศษในลักษณะกลุ่มเล่น(Play Group) โดยเริ่มจากเด็กเพียง 5 คน ต่อมากลุ่มนี้ได้พัฒนาเป็น “มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง” ซึ่งนับเป็นสถานศึกษาเอกชนสำหรับเด็กพิเศษและเด็กพิการทุกประเภทแห่งแรกของประเทศไทย ปัจจุบันมูลนิธิสถาบันแสงสว่างให้บริการการเรียนการสอนแก่เด็กพิเศษได้ถึงกว่า 200 คน/ปี
โครงการจัดระบบดูแลเด็กที่เป็นกำพร้า/พลัดพรากจากครอบครัว ณ ค่ายอพยพฯ บ้านพระยากัมพุช จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นการจัดจ้างโดย UNHCR นับเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิดระบบครอบครัวอุปถัมภ์ (Foster care) และ ระบบเครือญาติอุปถัมภ์(Kinship care) เพื่อจัดการให้เด็กไร้ผู้ปกครอง (unaccompanied minors) ในค่ายอพยพได้รับการดูแลในรูปแบบครอบครัว โดยการจัดหาและคัดเลือกครอบครัวชาวกัมพูชาที่อาศัยในศูนย์อพยพเดียวกัน ให้ทำหน้าที่เป็นครอบครัวทนแทนสำหรับเด็กกลุ่มนี้ โครงการนี้เป็นที่ยอมรับให้เป็นต้นแบบในการจัดสวัสดิการสำหรับเด็กไร้ผู้ปกครองในศูนย์อพยพอื่นๆ ในเวลาต่อมา
โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กชนบท จ.สุรินทร์ ทำให้เกิดการดูแลสุขอนามัยของเด็กในครอบครัว การให้วัคซีนเพื่อป้องกันความพิการในพื้นที่ห่างไกลที่ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการ รวมทั้งมีการนำเด็กพิการปากแหว่งเพดานโหว่ เท้าปุก ฯลฯ มาเข้ารับการรักษาพยาบาลเพื่อแก้ไขสภาพความพิการ
โครงการศูนย์เด็กเล็กในชุมชนแออัดหลังวัดสุทธิวราราม โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ปกครอง คณะกรรมการชุมชนได้ก่อสร้างอาคารศูนย์เด็กเล็ก มูลนิธิสนับสนุนครูเพื่อจัดการเรียนการสอน ผู้ปกครองสนับสนุนค่าอาหารเด็ก และจัดให้มีกิจกรรมกลุ่มผู้ปกครองเดือนละ 1 ครั้งเพื่อให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางในการเลี้ยงดูบุตรหลาน สำหรับครอบครัวที่มีความเสี่ยงหรือมีวิกฤติก็จะได้รับบริการฟื้นฟูสภาพครอบครัวจากมูลนิธิควบคู่ไปด้วย
งานสนับสนุนหน่วยงานของรัฐ (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม) และภาคเอกชน เพื่อป้องกันการเป็นเด็กกำพร้าและสนับสนุนให้เด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบครอบครัว (พ.ศ.2529-2559)
โครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด มูลนิธิได้จัดส่งนักพัฒนาการเด็กและนักจิตวิทยาลงทำงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาพัฒนาการล่าช้าในกลุ่มเด็ก 0-5 ปี ด้วยการจัดกิจกรรมกลุ่มสำหรับเด็ก และกิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการรายบุคคล ภายใต้ความรับผิดชอบของนักพัฒนาการเด็กที่ได้รับการอบรมด้านจิตวิทยาและพัฒนาการเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เด็กได้รับการสนองตอบความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรอบด้าน นอกจากการส่งเสริมพัฒนาการเด็กแล้ว ยังได้มีการสำรวจประวัติเด็กกำพร้าควบคู่ไปด้วยเพื่อให้มีการกำหนดแผนอนาคตเด็กแทนการอยู่ในสถานสงเคราะห์ยาวนาน โดยการติดตามเด็กที่ไม่มีการยกมอบให้สถานสงเคราะห์ หากครอบครัวมีความพร้อมในการดูแลเด็กก็จัดให้เด็กได้คืนสู่ครอบครัว หากครอบครัวไม่มีความพร้อมก็ดำเนินการหาครอบครัวบุญธรรมให้กับเด็ก ซึ่งส่งผลให้เด็กได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การสนับสนุนให้มีงานฟื้นฟูสภาพครอบครัวในสถานสงเคราะห์ จากประสบการณ์การทำงานฟื้นฟูครอบครัวของมูลนิธิที่เห็นว่าการสนับสนุนช่วยเหลือครอบครัวจะทำให้พ่อแม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ตนเอง และการอยากเห็นสถานสงเคราะห์มีจำนวนเด็กน้อยลง ทำให้ได้ร่วมมือกับสถานสงเคราะห์เด็กบ้านสงขลา สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ ในการนิเทศเจ้าหน้าที่ให้เปิดบริการฟื้นฟูสภาพครอบครัวในสถานสงเคราะห์ ส่งผลให้เด็ก 50% ได้กลับคืนและเติบโตในครอบครัวของตนเองและป้องกันมิให้เด็กต้องเข้าสู่สถานสงเคราะห์โดยไม่จำเป็น
การสนับสนุนให้เกิดบริการครอบครัวอุปถัมภ์ในสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ เป็นการสนับสนุนงบประมาณและวิชาการ มีการเตรียมความพร้อม ให้ความรู้ ทักษะ เทคนิคในการปฏิบัติงาน การนิเทศ ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เด็กในความดูแลของสถานสงเคราะห์แห่งนี้จำนวนกว่า 100 ราย ได้ออกจากสถานสงเคราะห์ไปอยู่ในความดูแลด้วยความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวอุปการะซึ่งอยู่ในชุมชนรอบๆ สถานสงเคราะห์แล้ว ยังส่งผลให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ(ขณะนั้น) มีนโยบายให้สถานสงเคราะห์อื่นๆ จัดบริการครอบครัวอุปการะขึ้น โดยกรมฯ มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับสนับสนุนการจัดบริการดังกล่าว
โครงการฟื้นฟูศักยภาพครอบครัวผู้ต้องขังซึ่งมีบุตรติดเพื่อสนับสนุนให้เด็กอยู่ในครอบครัว กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เป็นการสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูสภาพครอบครัวที่เป็นเครือญาติของผู้ต้องขังหญิงซึ่งคลอดบุตรขณะต้องขัง เพื่อให้เครือญาติมีความพร้อมที่จะรับบุตรของผู้ต้องขังซึ่งอยู่ในความดูแลของสถานรับเลี้ยงเด็กภายในทัณฑสถาน ออกไปเลี้ยงดูในครอบครัว เนื่องจากสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งมีที่ตั้งภายในทัณฑสถาน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเติบโต และดำเนินชีวิตของเด็ก โครงการนี้ ได้ช่วยฟื้นฟูสภาพครอบครัวเครือญาติของผู้ต้องขัง และตัวผู้ขังหลังพ้นโทษ ให้สามารถรับบุตรติดผู้ต้องขังออกจาจากทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิง ธนบุรี ไปอุปการะได้เองในครอบครัว จำนวนกว่า 63 ราย
การสนับสนุนให้เกิดบริการครอบครัวอุปถัมภ์ของมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นการสนับสนุนด้านวิชาการการเตรียมความพร้อม ให้ความรู้ ทักษะ เทคนิคในการปฏิบัติงาน การนิเทศ ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ ในการจัดบริการครอบครัวอุปถัมภ์ระยะยาว (Long term Foster care) ในพื้นที่ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ทำให้มีครอบครัวอุปถัมภ์สำหรับรองรับเด็กสถานสงเคราะห์ เด็กที่พ่อแม่ต้องขัง เด็กที่ครอบครัวมีวิกฤติให้สามารถเติบโตในครอบครัวและชุมชนที่อบอุ่น เอื้ออาทร ถึงปัจจุบันมีเด็กได้รับการดูแลจากครอบครัวอุปถัมภ์แล้ว 364 คน
งานบริการในภาวะภัยพิบัติ (พ.ศ.2536 – 2553)
โครงการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยโรงงานไฟไหม้เคเดอร์ เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานเคเดอร์ถล่มทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก มูลนิธิลงสำรวจเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของคนงานที่เสียชีวิต และร่วมในกระบวนการต่อรองเรียกร้องค่าชดเชย โดยใช้ประสบการณ์การทำงานกับกลุ่มครอบครัวของมูลนิธิ ส่งผลให้การชดเชยค่าเสียหายไม่อยู่ในรูปเงินก้อนเพียงอย่างเดียว มีการช่วยเหลือด้านสุขภาพ การศึกษา การให้คำปรึกษาต่อเนื่องแก่บุตรของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บให้ได้รับประโยชน์ในระยะยาวและสอดคล้องกับสภาพปัญหาความต้องการของผู้เสียหาย มีครอบครัวคนงานที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ 106 ครอบครัว
โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ สืบเนื่องจากเหตุการณ์สึนามิในช่วงปลายปี 2547 มูลนิธิได้ลงทำงานเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยโดยทำงานฟื้นฟูครอบครัว ฟื้นฟูอาชีพ ฟื้นฟูชุมชน ในพื้นที่อ.สุขสำราญ จ.ระนอง ซึ่งมีส่วนหนึ่งเป็นคนไทยพลัดถิ่นซึ่งเป็นกลุ่มที่หลุดจากระบบความช่วยเหลือจากราชการและทำงานเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตวัยรุ่นในพื้นที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยใช้กระบวนการกลุ่มและงานชุมชนเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้ปรับตัวกับภาวะสูญเสีย สามารถฟื้นคืนพลังและรวมตัวกันในการสนับสนุนช่วยเหลือกันและเกิดสวัสดิการสำหรับชุมชนในระยะยาว
งานเครือข่ายและสนับสนุนวิชาการเพื่อผลักดันนโยบายหรือบริการใหม่ ๆ
การสนับสนุนการทำงานในรูปแบบทีมสหวิชาชีพ สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัวมีความซับซ้อนมีการใช้ความรุนแรงต่อเด็กมากขึ้น ประกอบกับการจะมีประกาศใช้พรบ.คุ้มครองเด็ก 2546 ทำให้เกิดรูปแบบของการทำงานสหวิชาชีพ เจ้าหน้าที่อาวุโสของมูลนิธิได้มีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบการทำงานสหวิชาชีพผ่านการช่วยเหลือผู้ใช้บริการ เกิดการทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพเพื่อช่วยให้มีการวางแผนและการช่วยเหลือที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละรายและ เกิดรูปแบบการทำงานเป็นเครือข่ายซึ่งสามารถรองรับการให้บริการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ได้ และพบว่า บริการครอบครัวอุปถัมภ์ของมูลนิธิก็เป็นที่ต้องการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การช่วยพัฒนา/จัดทำguideline พรบ.คุ้มครองเด็กฯ พรบ.จัดสวัสดิการสังคมฯ เจ้าหน้าที่อาวุโสของมูลนิธิได้มีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐานขั้นต่ำการเลี้ยงดูเด็กตาม พ.ร.บ คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และประกาศเป็นกฎกระทรวง สหทัยมูลนิธิมีโอกาสเข้าร่วมกับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนร่วมผลักดันนโยบายกฏหมายต่างๆที่เกี่ยวกับสวัสดิการเด็กและครอบครัว
โครงการคลองเตยโมเดล เป็นการทำงานร่วมกับเครือข่ายองค์กรด้านเด็กอีก 9 องค์กรภายใต้คณะทำงานด้านเด็กได้แก่ มูลนิธิดวงประทีป มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล มูลนิธิสิกขาเอเชีย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สมาคมศูนย์พัฒนาเยาวชน YPDC โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นการสร้างเครือข่ายการทำงานและการพัฒนาบุคลากรที่ทำงานด้านเด็กให้มีความเป็นวิชาชีพผ่านกระบวนการการจัดการรายกรณี(Case Management) ทั้งนี้เพื่อให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น นอกจากจะเกิดเครือข่ายการทำงานและระบบการส่งต่อที่ชัดเจนแล้วยังส่งผลให้เกิดบุคลากรที่ผ่านการอบรมกว่า 300 คน เกิดบุคคลากรที่มีความรู้ทักษะด้านการทำงานกับเด็กและครอบครัว 15 คน และเกิดระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลเด็กและครอบครัวในคลองเตยซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ใช้ในการวางแผนและการจัดการทรัพยากรต่อไป





